วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ทฤษฎีจิตวิทยามานุษยวิทยา (Humanistic Theory) : หลักเบื้องต้นของจิตวิทยามานุษยนิยม(BasicTenets of Humanistic Psychology )
หลักเบื้องต้นของจิตวิทยามานุษยนิยม(BasicTenets of Humanistic Psychology )
คำว่า “จิตวิทยามานุษยนิยม” (Humanistic psychology) ตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักจิตวิทยาเมื่อประมาณต้นๆ ปี 1960 โดยมี Maslow เป็นหัวหน้ากลุ่มในสมัยนั้น ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวงการจิตวิทยาคือ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์และทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (psychoanalysis and behaviorism) แต่ Maslow ได้ตั้งทฤษฎีที่มีตัวแปรแตกต่างออกไปจากกลุ่มทฤษฎีทั้ง 2 และเป็นทฤษฎีที่ไม่เหมือนกับทฤษฎีอื่นๆ จิตวิทยามานุษยนิยมไม่ได้มีระบบหรือการรวบบรวมเฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่มันแสดงคุณลักษณะของความเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการเข้ามารวมกันของความคิดหลายๆ อย่าง Maslow เรียกว่า “พลังที่ 3 ของจิตวิทยา” (third force psychology) ถึงแม้ว่า การเคลื่อนไหวนี้จะแสดงความคิดเห็นได้กว้างขวางแต่ทั้งหมดแสดงถึงความคิดพื้นฐานของธรรมชาติมนุษย์ และความคิดพื้นฐานในทฤษฎีนี้มีรากฐานมาจากปรัชญาตะวันตก กลุ่มจิตวิทยามานุษยนิยมเน้นอย่างมากในปรัชญาเรื่องอัตถิภาวนิยม (Existential) ซึ่งเป็นปรัชญาที่กล่าวว่า บุคคลมีความรับผิดชอบในตนเอง อิทธิพลจากปรัชญานี้มีต่อแนวความคิดทางจิตวิทยาได้พัฒนาขึ้นโดยนักคิดและนักเขียนหลายคน เช่น Kierkegaarad, Startre, Camus, Binswanger, Boss และ Frankl ส่วนนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เช่น Rollo May ก็ได้รับอิทธิพลจากปรัชญานี้เช่นกัน
ทฤษฎีจิตวิทยามานุษยวิทยา (Humanistic Theory) บทนำ
ทฤษฎีจิตวิทยามานุษยวิทยา เป็นทฤษฎีจิตวิทยาร่วมสมัยในปัจจุบันมากที่สุด แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างมากในวงการจิตวิทยาเพราะได้เสนอภาพหรือความคิดเห็นในมนุษย์แตกต่างไปจากความคิดของ ทฤษฎีบุคลิกภาพที่ผ่านมาเช่นทฤษฎีจิตวิเคราะห์หรือทฤษฎีพฤติกรรมนิยมเป็นต้นผู้คิดทฤษฎีนี้ ได้แก่ Abraham Maslow เป็นผู้ตั้งทฤษฎีนี้และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยามานุษยนิยม ทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น A Humanistic Theory of Personality ( ทฤษฎีบุคลิกภาพมานุษยนิยม ) และ Self-Actualizationism Theory ( ทฤษฎีการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ) เป็นต้น ทฤษฎีมานุษยนิยมเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงบุคลิกภาพโดยมีความเชื่อพื้นฐานว่า มนุษย์มีความดีและมีคุณค่าต่อการยอมรับมนุษย์มีความต้องการที่จะมุ่งไปสู่ความเข้าใจในศักยภาพของตนเอง ถ้าสภาพสิ่งแวดล้อมของเขาดีพอหรือเอื้ออำนวย ดังนั้นทฤษฎีจึงมีแนวคิดพื้นฐานในเรื่องการศึกษาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความบริบูรณ์ ความเจริญงอกงามและการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ซึ่ง Maslow กล่าวว่า มนุษย์จะไม่เข้าใจตนเองจนกว่า จะเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแสวงหาสิ่งต่อไปนี้คือความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ความบริบูรณ์งอกงาม เอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเอง และสิ่งสำคัญที่ทฤษฎีของ Maslow เน้นคือ เอกลักษณ์ของบุคคล ความสำคัญและความหมายของคุณค่าต่างๆ (values) ศักยภาพสำหรับการชี้นำตนเอง และความต้องการเจริญเติบโตของบุคคล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอิทธิพลสำคัญของความคิดในปัจจุบันเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ฟรอยด์ (Freud, 1856-1939) เป็นชาวออสเตรีย เป็นคนแรกที่เห็นความสำคัญของพัฒนาการในวัยเด็ก ถือว่าเป็นรากฐานของ พัฒนาการของบุคลิกภาพ ตอนวัยผู้ใหญ่ สนับสนุนคำกล่าวของนักกวี Wordsworth ที่ว่า "The child is father of the man” และมีความเชื่อว่า 5 ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญมาก เป็นระยะวิกฤติของพัฒนาการ ของชีวิตบุคลิกภาพของผู้ใหญ่ มักจะเป็นผลรวมของ 5 ปีแรก ฟรอยด์เชื่อว่า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ ที่แตกต่างกัน ก็เนื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อเวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึ้นอยู่กับว่าเด็กแต่ละคน แก้ปัญหาของความขัดแย้งของแต่ละวัยอย่างไร
ทฤษฎีของฟรอยด์มีอิทธิพลทางการ รักษาคนไข้โรคจิต วิธีการนี้เรียกว่า จิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) โดยให้คนไข้ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟังทฤษฎีของฟรอยด์อาจจะกล่าวหลักโดยย่อดังต่อไปนี้
ฟรอยด์ได้แบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ คือ
- จิตสำนึก (Conscious)
- จิตก่อนสำนึก (Pre-conscious)
- จิตไร้สำนึก (Unconscious)
เนื่องจากระดับจิตสำนึก เป็นระดับที่ผู้แสดงพฤติกรรมทราบ และรู้ตัว ส่วนเนื้อหาของระดับ จิตก่อนสำนึก เป็นสิ่งที่จะดึงขึ้นมา อยู่ในระดับจิตสำนึก ได้ง่าย ถ้าหากมีความจำเป็นหรือต้องการ ระดับจิตไร้สำนึกเป็นระดับที่อยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจ จะดึงขึ้นมาถึงระดับจิตสำนึกได้ยาก แต่สิ่งที่อยู่ในระดับไร้สำนึก ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ฟรอยด์เป็นคนแรก ที่ได้ให้ความคิดเกี่ยวกับแรงผลักดันไร้สำนึก (Unconscious drive) หรือแรงจูงใจไร้สำนึก (Unconscious motivation) ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของพฤติกรรม และมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของมนุษย์
ฟรอยด์กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาติญาณติดตัวมาแต่กำเนิด และได้แบ่งสัญชาติญาณออกเป็น
2 ชนิดคือ
1) สัญชาติญาณเพื่อการดำรงชีวิต (Life instinct)
2) สัญชาติญาณเพื่อความตาย (Death instinct)
2) สัญชาติญาณเพื่อความตาย (Death instinct)
สัญชาตญาณบางอย่าง จะถูกเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก ฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับสัญชาตญาณ เพื่อการดำรงชีวิตไว้อย่างละเอียด ได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์เรามีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด เรียกพลังงานนี้ว่า "Libido” เป็นพลังงานที่ทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่ อยากสร้างสรรค์ และอยากจะมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศ หรือกามารมณ์ (Sex) เพื่อจุดเป้าหมาย คือความสุขและความพึงพอใจ (Pleasure) โดยมีส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก และได้เรียกส่วนนี้ว่า อีโรจีเนียสโซน (Erogenous Zones) แบ่งออกเป็นส่วนต่างดังนี้
- ส่วนปาก ช่องปาก (Oral)
- ส่วนทางทวารหนัก (Anal)
- และส่วนทางอวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Organ)
ฉะนั้น ฟรอยด์กล่าวว่าความพึงพอใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ เป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่วัยทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ1. ขั้นปาก (Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage)
- ส่วนปาก ช่องปาก (Oral)
- ส่วนทางทวารหนัก (Anal)
- และส่วนทางอวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Organ)
ฉะนั้น ฟรอยด์กล่าวว่าความพึงพอใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ เป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่วัยทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ1. ขั้นปาก (Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage)
1) ขั้นปาก (0-18 เดือน) ฟรอยด์เรียกขั้นนี้ว่า เป็นขั้นออรอล เพราะความพึงพอใจอยู่ที่ช่องปาก เริ่มตั้งแต่เกิด เด็กอ่อนจนถึงอายุราวๆ 2 ปี หรือวัยทารก เป็นวัยที่ความพึงพอใจ เกิดจากการดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิ้ว เป็นต้น ในวัยนี้ความคับข้องใจ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "การติดตรึงอยู่กับที่” (Fixation) ได้และมีปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ เรียกว่า "Oral Personality” มีลักษณะที่ชอบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด บางครั้งจะแสดงด้วยการดูดนิ้ว หรือดินสอ ปากกาู้มีลักษณะแบบนี้อาจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม เสียดสีผู้อื่น
2) ขั้นทวารหนัก (18 เดือน – 3 ปี) ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้ได้รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ จากการขับถ่ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และความคับข้องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่มักจะหัดให้เด็กใช้กระโถน และต้องขับถ่ายเป็นเวลา เนื่องจากเจ้าของความต้องการของผู้ฝึก และความต้องการของเด็ก เกี่ยวกับการขับถ่ายไม่ตรงกันของเด็ก คือความอยากที่จะถ่ายเมื่อไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ายเวลาที่มีความต้องการ กับการที่พ่อแม่หัดให้ขับถ่ายเป็นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้งมาก อาจจะทำให้เกิด Fixation และทำให้เกิดมีบุคลิกภาพนี้เรียกว่า "Anal Personality” ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็นคนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ และค่อนข้างประหยัด มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คืออาจจะเป็นคนที่ใจกว้าง และไม่มีความเป็นระเบียบ เห็นได้จากห้องทำงานส่วนตัวจะรกไม่เป็นระเบียบ
3) ขั้นอวัยวะเพศ (3-5 ปี) ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กผู้ชายมีปมเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอยด์อธิบายการเกิดของปมเอ็ดดิปุสว่า เด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่าตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง ฟรอยด์เรียกกระบวนนี้ว่า "Resolution of Oedipal Complex” เป็นกระบวนการที่เด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้เหมือน "ผู้ชาย” ส่วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ก็ได้ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบายว่า แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มากเหมือนเด็กชาย แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มีอวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศที่ตนปรารถนาจะมี แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน (Represtion) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่ มาเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ "ผู้หญิง”
4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนี้อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นระยะที่ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่วนเด็กหญิง ก็จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์กล่าวว่า ถ้าเด็กโชคดี และผ่านวัยแต่ละวัย โดยไม่มีปัญหาก็จะเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ละขั้นของพัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ได้ตั้งชื่อตามแต่ละวัย เช่น "Oral Personalities” เป็นผลของ Fixation ในวัยทารกจนถึง
2 ปี ผู้ใหญ่ที่มี Oral Personality เป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจ ทางปากอย่างไม่จำกัด เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก มีความสุขในการกิน และชอบดื่ม คนที่มี Oral Personality อาจจะเป็นผู้ที่เห็นโลกในทางดี (Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจจะเป็น คนที่แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ เช่น ชอบพูดเยาะเย้ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อื่น
ถ้า Fixation เกิดในระยะที่ 2 ของชีวิต คือ อายุราวๆ 2-3 ปี จะทำให้บุคคลนั้น มีบุคลิกภาพแบบ Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
(1) เป็นคนเจ้าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean) และเรียบร้อยเจ้าระเบียบ เข้มงวด และเป็นคนที่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เปลี่ยนแนวไม่ได้
(2) อาจจะมีลักษณะตรงข้ามเลย คือ รุงรัง ไม่เป็นระเบียบ
(3) อาจจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย หรือตระหนี่ก็ได้ ผู้ชายที่แต่งงานก็คิดว่า ตนเป็นเจ้าของ "ผู้หญิง” ที่เป็นภรรยาเก็บไว้แต่ในบ้าน หึงหวงจนทำให้ภรรยาไม่มีความสุข ผู้หญิงที่มี Anal personality ก็จะหึงหวงสามีมาก จนทำให้ชีวิตสมรสไม่มีความสุข
ถ้า Fixation เกิดในระยะที่ 2 ของชีวิต คือ อายุราวๆ 2-3 ปี จะทำให้บุคคลนั้น มีบุคลิกภาพแบบ Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
(1) เป็นคนเจ้าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean) และเรียบร้อยเจ้าระเบียบ เข้มงวด และเป็นคนที่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เปลี่ยนแนวไม่ได้
(2) อาจจะมีลักษณะตรงข้ามเลย คือ รุงรัง ไม่เป็นระเบียบ
(3) อาจจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย หรือตระหนี่ก็ได้ ผู้ชายที่แต่งงานก็คิดว่า ตนเป็นเจ้าของ "ผู้หญิง” ที่เป็นภรรยาเก็บไว้แต่ในบ้าน หึงหวงจนทำให้ภรรยาไม่มีความสุข ผู้หญิงที่มี Anal personality ก็จะหึงหวงสามีมาก จนทำให้ชีวิตสมรสไม่มีความสุข
บุคลิกภาพ : Id Ego และ Superego
Id เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นส่วนที่จิตไร้สำนึก มีหลักการที่จะสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น เอาแต่ได้อย่างเดียว และจุดเป้าหมายก็คือ หลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) Id จะผลักดันให้ Ego ประกอบในสิ่งต่างๆ ตามที่ Id ต้องการ
Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพ ที่พัฒนามาจากการที่ทารกได้ติดต่อ หรือมีปฎิสัมพันธ์กับโลก ภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ คือ บุคคลที่ Ego สามารถที่ปรับตัวให้เกิดสมดุลระหว่างความต้องการของ Id โลกภายนอก และ Superego หลักการที่ Ego ใช้คือหลักแห่งความเป็นจริง (Reality Principle)
Superego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในระยะที่ 3 ของพัฒนาการที่ชื่อว่า "Phallic Stage” เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ตั้งมาตรการของพฤติกรรมให้แต่ละบุคคล โดยรับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดา เป็นของตน โดยตั้งเป็นมาตรการความประพฤติ มาตรการนี้จะเป็นเสียงแทนบิดามารดา คอยบอกว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้มาจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พ่อแม่สอนและ มักจะเป็นมาตรฐานจริยธรรม และค่านิยมต่างของพ่อแม่ ฟรอยด์กล่าวว่าเป็นผลของการปรับของ Oedipus และ Electra Complex ซึ่งนอกจาก ทำให้เด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้ชาย” จากบิดา และเด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้หญิง” จากมารดาแล้ว ยังยึดถือหลักจริยธรรม ค่านิยมของบิดามารดา เป็นมาตรการของพฤติกรรมด้วย
Superego แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
1. "Conscience” ซึ่งคอยบอกให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2. "Ego ideal” ซึ่งสนับสนุนให้มีความประพฤติดี
"Conscience” มักจะเกิดจากการขู่ว่าจะทำโทษ เช่น "ถ้าทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดี ควรจะละอายแก่ใจที่ประพฤติเช่นนั้น” ส่วน "Ego ideal” มักจะเกิดจากการให้แรงเสริมบวก หรือการยอมรับ เช่น แม่รักหนู เพราะหนูเป็นเด็กดี
ฟรอยด์ถือว่าความต้องการทางเพศเป็นแรงขับ และไม่จำเป็นจะอยู่ในระดับจิตสำนึกเสมอไป แต่จะอาจอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) และมีพลังงานมาก ความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับแรงขับระดับจิตไร้สำนึก เป็นประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งปัจจุบันนี้นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ยอมรับความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับ Unconscious motivation แม้ว่าจะไม่รับหลักการของฟรอยด์ทั้งหมด
ฟรอยด์กล่าวว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพ คือ Id, Ego และ Superego จะทำงานประสานกันดีขึ้น เนื่องจากเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือโลกภายนอกมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น Ego ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และสามารถที่จะควบคุม Id ได้มากขึ้น
1. "Conscience” ซึ่งคอยบอกให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2. "Ego ideal” ซึ่งสนับสนุนให้มีความประพฤติดี
"Conscience” มักจะเกิดจากการขู่ว่าจะทำโทษ เช่น "ถ้าทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดี ควรจะละอายแก่ใจที่ประพฤติเช่นนั้น” ส่วน "Ego ideal” มักจะเกิดจากการให้แรงเสริมบวก หรือการยอมรับ เช่น แม่รักหนู เพราะหนูเป็นเด็กดี
ฟรอยด์ถือว่าความต้องการทางเพศเป็นแรงขับ และไม่จำเป็นจะอยู่ในระดับจิตสำนึกเสมอไป แต่จะอาจอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) และมีพลังงานมาก ความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับแรงขับระดับจิตไร้สำนึก เป็นประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งปัจจุบันนี้นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ยอมรับความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับ Unconscious motivation แม้ว่าจะไม่รับหลักการของฟรอยด์ทั้งหมด
ฟรอยด์กล่าวว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพ คือ Id, Ego และ Superego จะทำงานประสานกันดีขึ้น เนื่องจากเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือโลกภายนอกมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น Ego ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และสามารถที่จะควบคุม Id ได้มากขึ้น
องค์ประกอบที่มีส่วนพัฒนาการทางบุคลิกภาพมีหลายอย่างซึ่งฟรอยด์ได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
1. วุฒิภาวะ ซึ่งหมายถึงขั้นพัฒนาการตามวัย
2. ความคับข้องใจ ที่เกิดจากความสมหวังไม่สมหวัง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
3. ความคับข้องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย ด้านเชาวน์ปัญญา และการขาดประสบการณ์
5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่กล้าของตนเอง
ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก
กลไกในการป้องกันตัวมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่อนุบาลจนถึงวัยชรา กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ฟรอยด์และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้
2. ความคับข้องใจ ที่เกิดจากความสมหวังไม่สมหวัง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
3. ความคับข้องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย ด้านเชาวน์ปัญญา และการขาดประสบการณ์
5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่กล้าของตนเอง
ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก
กลไกในการป้องกันตัวมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่อนุบาลจนถึงวัยชรา กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ฟรอยด์และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้
- การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั่ง ลืมกลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
- การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิด ให้แก่ผู้อื่น ตัวอย่าง ถ้าตนเองรู้สึกเกลียด หรือไม่ชอบใครที่ตนควรจะชอบก็อาจจะบอกว่า คนนั้นไม่ชอบตน เด็กบางคนที่โกงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ายความผิด หรือใส่โทษว่าเพื่อโกง
- การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูก มักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องได้รับการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้างว่าไม่สบาย แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ดูหนังสือ บางครั้งจะใช้เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว” เช่น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่สอบเข้าไม่ได้ ได้วิศวกรรมศาสตร์ อาจจะบอกว่าเข้าแพทย์ไม่ได้ก็ดีแล้ว เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเวลาของตนเอง เป็นวิศวกรดีกว่า เพราะเป็นอาชีพอิสระ "การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง” แตกต่างกับการโกหก เพราะผู้แสดงพฤติกรรมไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิด
- การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้องใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง มีความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก และไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
- การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคม อาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ หรือเด็กที่มีอคติต่อนักเรียนต่างชาติที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็นเพื่อนที่ดีต่อนักเรียนผู้นั้น โดยทำตนเป็นเพื่อนสนิท เป็นต้น
- การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้ เป็นการสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้น เพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้นว่า นักเรียนที่เรียนไม่ดี อาจจะฝันว่าตนเรียนเก่ง มีมโนภาพว่าตนได้รับรางวัล มีคนปรบมือให้เกียรติ เป็นต้น
- การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก อาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
- การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคน หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่ หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภรรยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของ เช่น โต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะ เก้าอี้
- การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์ การเลียนแบบนอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยม และมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริงๆ แต่อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็จะพลอยเป็นสุขไปด้วย
กลไกในการป้องกันตัว เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้ สรุปแล้วทฤษฎีของฟรอยด์ เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากทั้งทางตรง และทางอ้อม ผู้ที่มีความเชื่อ และเลื่อมใสในทฤษฎีของฟรอยด์ ก็ได้นำหลักการต่างๆ ไปใช้ในการรักษาคนที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ซึ่งได้ช่วยคนมากว่ากึ่งศตวรรษ ส่วนนักจิตวิทยาที่ไม่ใช้หลักจิตวิเคราะห์ ก็ได้นำความคิดของฟรอยด์ ไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ จึงนับว่าฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยา ผู้มีอิทธิพลมากต่อพัฒนาการของวิชาจิตวิทยา
"ขอให้ท่านยกตัวอย่างการวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคลที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราด้วยทฤษฎีจิตวิเคราะห์"
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
จิตตะ ปัญญะ
จิตตะปัญญะ เป็นอะไร จิตดปัญญา ปัญญาอาสาให้เกิดจิต กระบวนการพัฒนาจิตปัญญาผ่านทางการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเพื่อจุดประกายปัญญะ สู่ปัญญา กรณีเกิดปัญหาจะได้ใช้จิตทำให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหา สุ พาไปจิ เกิดปุ สรรค์สร้าง ลิ ตลอดมา แต่การนำพาเพื่อให้เกิดความยั่งยืน คือ กลั่นและกรอง มอง และแล แค่นั้นไม่พอ ต้องถ่อไปถึงลงมือทำจนเป็นจิตใจ ก้าวข้ามผ่านประกายของอารมณ์ บ่มเพาะความสุขที่พอดี
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กว่าจะรู้เดียงสา อาตมายะถา
สะสมประสบการณ์ชีวิตด้วยการคิดเชิงบวก
หลายคนเสียโอกาสในชีวิตจากภารกิจที่นอกเหนือจากงานประจำ จากปัญหาในชีวิต จากการช่วยเหลือคนอื่น จากความท้าทายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงเพราะคิดในเชิงลบ เช่น ไม่อยากทำงานอื่นเพิ่มเติมเพราะกลัวขาดทุน (ทำงานมากกว่าเงินเดือน) ไม่อยากไปช่วยคนอื่นเพราะไม่มีผลประโยชน์อะไรตอบแทน ไม่อยากเสี่ยง กับเรื่องใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคย ฯลฯ คนส่วนใหญ่มักจะมองเพียงผลประโยชน์ในระยะสั้นมากกว่าประสบการณ์ชีวิต ในระยะยาว คนเรามัวแต่คิดถึงแต่คำว่า "คุ้มหรือไม่คุ้ม" และ "ได้หรือเสีย
หลายคนเสียโอกาสในชีวิตจากภารกิจที่นอกเหนือจากงานประจำ จากปัญหาในชีวิต จากการช่วยเหลือคนอื่น จากความท้าทายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงเพราะคิดในเชิงลบ เช่น ไม่อยากทำงานอื่นเพิ่มเติมเพราะกลัวขาดทุน (ทำงานมากกว่าเงินเดือน) ไม่อยากไปช่วยคนอื่นเพราะไม่มีผลประโยชน์อะไรตอบแทน ไม่อยากเสี่ยง กับเรื่องใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคย ฯลฯ คนส่วนใหญ่มักจะมองเพียงผลประโยชน์ในระยะสั้นมากกว่าประสบการณ์ชีวิต ในระยะยาว คนเรามัวแต่คิดถึงแต่คำว่า "คุ้มหรือไม่คุ้ม" และ "ได้หรือเสีย
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กว่าจะรู้เดียงสา ฉบับแม่ชีเพิ่งบวช
กว่าจะรู้เดียงสา ฉบับแม่ชีเพิ่งบวช
มุนษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับภาระ มีใครว่าไม่จริง ภาระของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย งัย
เมื่อเกิดมา สิ่งที่มาพร้อมคือกิเลสและตัณหา ราคะ เพื่อให้การเกิดดำรงอยู่ แต่เมื่อมากเกินความจำเป็นก็เข้าสู่
ขั้นตอนต่อไปคือ ความแก่ เพราะใช้งานมาก ก็แก่มาก ใช้น้อยก็แก่น้อย ใช้บอยๆ ก็เจ็บ อยากที่เราเรียกกันว่า เจ็บไข้ได้ป่วย
และสุดท้ายหนีไม่พ้น ความตาย
แล้วอย่างนี้ จะอ้างเหตุผลอะไรมากกับโลกใบนี้ กว่าจะรู้เดียงสา
โปรดติดตามฉบับหน้า กว่าจะรู้เดียงสา อาตมายะถา
มุนษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับภาระ มีใครว่าไม่จริง ภาระของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย งัย
เมื่อเกิดมา สิ่งที่มาพร้อมคือกิเลสและตัณหา ราคะ เพื่อให้การเกิดดำรงอยู่ แต่เมื่อมากเกินความจำเป็นก็เข้าสู่
ขั้นตอนต่อไปคือ ความแก่ เพราะใช้งานมาก ก็แก่มาก ใช้น้อยก็แก่น้อย ใช้บอยๆ ก็เจ็บ อยากที่เราเรียกกันว่า เจ็บไข้ได้ป่วย
และสุดท้ายหนีไม่พ้น ความตาย
แล้วอย่างนี้ จะอ้างเหตุผลอะไรมากกับโลกใบนี้ กว่าจะรู้เดียงสา
โปรดติดตามฉบับหน้า กว่าจะรู้เดียงสา อาตมายะถา
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
THE POWER OF POSITIVE THINKING
เมื่อมีปัญหาความยุ่งยากและคุณรู้สึกแย่ นี่คือเวลาสำหรับการสร้างมโนภาพ คิด และคาดหวังในเชิงบวก
Fill your mind with light, happiness, hope, feelings of security and strength, and soon your life will reflect these qualities.
จงเติมเต็มจิตใจคุณด้วยแสงสว่าง ความสุข ความหวัง ความรู้สึกปลอดภัยและความเข้มแข็งและในไม่ช้าชีวิตของคุณก็จะสะท้อนให้เห็นคุณสมบัติดังกล่าว
Reading inspiring quotes uplifts the mind.
การอ่านข้อคิดที่กระตุ้นแรงบันดาลใจ จะช่วยยกระดับจิตของคุณ
Repeating inspiring quotes during the day, helps to cope better with every situation that arises.
การย้ำทวนข้อคิดคำคมระหว่างวัน ช่วยให้เราควบควมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
The power of positive thinking is like a car with a powerful engine that
can take you to the summit of a mountain.
อำนาจของความคิดเชิงบวกก็เหมือนกับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์กำลังแรงซึ่งสามารถนำคุณขึ้นไปถึงยอดเขาได้
When there are difficulties and you feel down, this is the time to visualize, think and expect the positive.
การเพิ่มศักยภาพการทำงานด้วย ความคิดเชิงบวก
การเพิ่มศักยภาพการทำงานด้วย ความคิดเชิงบวก
สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การบรรยายการเพิ่มศักยภาพการทำงานด้วยความคิดเชิงบวก
1.1 ความคิดบวกในการทำงานร่วมกัน 5 ประการ คือ
1.1.1 สร้างความเข้าใจในเรื่อง คนและงาน (Understanding)
1.1.2 มีความเอื้ออาทร ความรัก ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Nice)
1.1.3 มีการติดต่อ สัมพันธ์สื่อสารพูดคุยกัน (Interacting)
1.1.4 ช่วยกันอย่างเป็นระบบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน (Team Spirit)
1.1.5 ยอมรับ ละเลยในบางเรื่อง ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กเป็นไม่มีเรื่อง (Yielding)
1.2 ความคิดบวกเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี 5 ประการ
1.2.1 จิตมุ่งบริการ (Service minded) คุณลักษณะเฉพาะของผู้มีจิตมุ่งบริการในการทำงาน ประกอบด้วย 1) หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น 2) เต็มใจทำงานร่วมกับผู้อื่น
3) ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 4) มีความเสียสละ 5) เรียนรู้และเข้าใจผู้อื่น 6) เต็มใจเข้าร่วมกิจกรรมกับคนอื่น 7) เสนอตัวช่วยเหลือการทำงาน 8) ให้คำแนะนำช่วยเหลือ 9) คบหาคนอื่น ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
10) แสดงน้ำใจกับเพื่อนร่วมงาน
1.2.2 งานสัมฤทธิ์ผล (Accomplished) การบริหารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์นั้นต้องใช้หลักการบริหารที่ดีคือ
1. หลักคุณธรรม (Ethics) หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม การส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆกัน เพื่อให้มีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย
2. หลักความโปร่งใส (Transparency
3. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุคนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความเห็นในการตัดสินใจปัญหาขององค์กร ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติหรืออื่น ๆ
4. หลักความรับผิดชอบ (Accountability
5. หลักความคุ้มค่า (Utility) หมายถึงการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้ทุกคนมีความประหยัด ใช้อย่างคุ้มค่า และบริการที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นๆได้
1.2.3 พัฒนาตน (Self-development)
) หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในองค์กรโดยปรับปรุงกลไกการทำงานขององค์กรให้มีความโปร่งใส) หมายถึง การตระหนักในสิทธิหน้าที่ความสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ ตลอดจนการเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และความกล้าที่จะยอมรับผลดีและผลเสียจากการกระทำของตนที่สำคัญที่สุดคือสร้างแรงดลใจให้อยากแก้ปัญหาคนทำงาน หากคุณเพียงทำงานตามคำสั่ง เท่านั้นคุณจะไม่มีวันพัฒนาความสามารถของคุณเองได้ และต้องสะสมข้อมูล หากไม่มีข้อมูลเข้า (input) แล้วจะมีผลออก (output) ได้อย่างไร การพัฒนาตนเองก็เฉกเช่นกัน การสะสมข้อมูลเพื่อให้ตนเองรอบรู้มากขึ้น จึงเป็นการช่วยพัฒนาตนเองให้รอบรู้และมีประสบการณ์ มากยิ่งขึ้น (จากหนังสือมารยาทในที่ทำงาน ศูนย์การศึกษาทางไปรษณีย์ (สสท. – มหาวิทยาลัยซันโน สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย– ญี่ปุ่นการพัฒนาตนเองให้เก่งต้องประกอบด้วย 3 เก่งคือ
เก่งตน (Self Ability)
หมายถึง เป็นผู้ที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันโลกทันคน โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อน การพัฒนาตนเองนั้นพัฒนาได้ ๓ ทางคือทางกาย
อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ การยืน การเดิน การนั่ง ต้องมั่นคง เรียบร้อย การแต่งกายต้องสะอาดเหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณ
องค์ประกอบที่สำคัญคือ รูปร่าง พัฒนาให้ดีขึ้นโดยใช้การแต่งกายช่วยลดจุดด้อยหรือเสริมจุดเด่น หน้าตาสดชื่นแจ่มใส สะอาดหมดจด อากัปกิริยา การแสดงออกเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกระด้างทางวาจา
การพูดดีต้องมีองค์ประกอบ ๔ ประการคือ พูดแต่ดี มีประโยชน ผู้ฟังชอบและทุกคนปลอดภัยก่อนพูดทุกครั้งต้องคิดก่อนพูด คนที่พูดดี มีปิยะวาจา เป็นลมปากที่หวานหูไม่รู้หายเป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุก ๆ ฝ่ายที่ได้ยินได้ฟังทางใจ
ความสุขใจ ความอดกลั้น ความมีเหตุผล การมีสมรรถภาพในการจำและมีความคิดสร้างสรรค
การพัฒนาทางใจก็มีองค์ประกอบหลายประการ เช่น ความมั่นใจ ถ้ามีความมั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็สำเร็จ ความจริงใจ คือ เป็นคนปากกับใจตรงกัน ความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง แจ่มใส มีชีวิตชีวา ความมานะพยายามไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ความซื่อสัตย์สุจริตเก่งคน (Self Ability)
ความอบอุ่นแก่ลูก ลูกก็ไม่ทำตนใหเ้ป็นปัญหาให้พ่อแม่ และมีมนุษยสัมพันธ์ในการทำงาน สามารถทำตนให้เข้ากับคนได้กับทุกคน หากมีผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาก็รัก หากมีลูกน้อง ลูกน้องก็รัก เพื่อน
ร่วมงานก็รัก บุคคลภายนอกหรือลูกค้าก็รัก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองและองค์กรเป็นอย่างยิ่ง
เก่งงาน (Task Ability)
หมายถึง ผู้ที่รักงาน ขยันทำงาน และรู้วิธีทำงาน มีความขยันหมั่นเพียร มานะ อดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค หมายถึง มีความสามารถที่จะทำตัวให้เข้าไหนเข้าได้ เป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุกฝ่าย มีมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อแม่ควรรู้หลักจิตวิทยาในการปกครองลูก ให้ความรัก(กลุ่มบริหารทั่วไป สำนักบริหารกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)1.2.4 ซื่อสัตย์ สุจริต (Honest) และตรวจสอบได้ (Transparent) ตามที่พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือนเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรียน ปี 2547 “ผู้ปฏิบัติราชการจำเป็นต้องรู้วิทยาการรู้งานและรู้ดีรู้ชั่วอย่างกระจ่างชัดจึงจะสามารถปฏิบัติบริหารงานในความรับผิดชอบให้ถูกตรงตามเป้ามหายและสัมฤทธิ์ผลที่เป็นประโยชน์เป็นความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืนทั้งแก่ตนเองและส่วนรวม”คุณธรรม4 ประการคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรักความสามัคคีที่ทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันได้ตลอดรอดฝั่ง1. การที่ทุกคนคิดพูดทำด้วยความเมตตามุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน 2. การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันประสานประโยชน์กันให้งานที่สำเร็จผลทั้งแก่ตนแก่ผู้อื่นและแก่ประเทศชาติ3. การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริตในกฎกติกาและในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมกันเสมอกัน4. การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนเองให้ถูกต้องเที่ยงตรงและมั่นคงอยู่ในเหตุในผล
2549)
(พระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธีฉลองศิริราชสมบัติครอง 60 ปี วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน1.3 การทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง ด้วยลักษณะของผู้มีความคิดบวก 7 ประการ คือ
1.3.1 ผู้นำที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี
- ความรู้ (Knowledge) การเป็นผู้นำนั้น ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ความรู้ในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะความรู้เกี่ยวกับงานในหน้าที่เท่านั้น หากแต่รวมถึงการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมในด้านอื่นๆ
ด้วย การจะเป็นผู้นำที่ดี หัวหน้างานจึงต้องเป็นผู้รอบรู้ ยิ่งรอบรมู้ ากเพียงใด ฐานะแห่งความเป็นผู้นำก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น
- ความริเริ่ม (Initiative) ความริเริ่ม คือ ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องคอยคำสั่ง หรือความสามารถแสดงความคิดเห็นที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีขึ้น หรือเจริญขึ้นได้ด้วยตนเอง ความริเริ่มจะเจริญงอกงามได้ หัวหน้างาน
จะต้องมีความกระตือรือร้น มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่ มีพลังใจที่ต้องการความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า
- มีความกล้าหาญและความเด็ดขาด (Courage and firmness) ผู้นำที่ดีจะต้องไม่กลัวต่ออันตราย ความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจผู้นำที่มีความกล้าหาญ จะ
ช่วยให้สามารถผจญต่องานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได ้นอกจากความกล้าหาญแล้ว ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะอันหนึ่งที่จะต้องทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของผู้นำเองต้องอยู่ในลักษณะของการ “กล้าได้กล้าเสีย”
ด้วย
- การมีมนุษยสัมพันธ์(Human relations) ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักประสานความคิดประสานประโยชน์สามารถทำงานร่วมกับคนทุกเพศทุกวัยทุกระดับการศึกษาได้ผู้นำที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีจะช่วยให้ปัญหาใหญ่เป็นปัญหาเล็กได้
- มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริต(Fairness and Honesty) ผู้นำที่ดีจะต้องอาศัยหลักของความถูกต้องหลักแห่งเหตุผลและความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผอูื้่นเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยสั่งการหรือปฏิบัติงานด้วยจิตที่ปราศจากอคติปราศจากความลำเอียงไม่เล่นพรรคเล่นพวก
- มีความอดทน(Patience) ความอดทนจะเป็นพลังอันหนึ่งที่จะผลักดันงานให้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแท้จริง
- มีความตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม(Alertness) ความตื่นตัวหมายถึงความระมัดระวังความสุขุมรอบคอบความไม่ประมาทไม่ยืดยาขาดความกระฉับกระเฉงมีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อเหตุการณ์ความตื่นตัวเป็นลักษณะที่แสดงออกทางกายแต่การไม่ตื่นตูมเป็นพลังทางจิตที่จะหยุดคิดไตร่ตรองต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรู้จักใช้ดุลยพินิจที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆหรือเหตุต่างๆได้อย่างถูกต้องพูดง่ายๆผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักควบคุมตัวเองนั่นเอง(Self control)
- มีความภักดี(Loyalty) การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีความจงรักภักดีต่อหมู่คณะต่อส่วนรวมและต่อองค์การความภักดีนี้จะช่วยให้หัวหน้าได้รับความไว้วางใจและปกป้องภัยอันตรายในทุกทิศได้เป็นอย่างดี
- มีความสงบเสงี่ยมไม่ถือตัว(Modesty) ผู้นำที่ดีจะต้องๆไม่หยิ่งยโสไม่จองหองไม่วางอำนาจและไม่ภูมิใจในสิ่งที่ไร้เหตุผลความสงบเสงี่ยมนี้ถ้ามีอยู่ในหัวหน้างานคนใดแล้วก็จะทำให้ลูกน้องมีความนับถือและให้ความร่วมมือเสมอ
หน้า25 -28: 2549)
(โดยศิริพงษ์ศรีชัยรมย์รัตน์“กุญแจสู่ความเป็นเลิศทางการบริหารคน”1.3.2 สื่อสารดีวิธีการสื่อสารที่ดีดังบัญญัติ10 ประการต่อไปนี้
1. จงทำความเข้าใจกับความคิดของท่านให้กระจ่างแจ้งก่อนที่จะสื่อสารไปยังผู้อื่น
2. จงตรวจสอบความมุ่งหมายอันแท้จริงของการสื่อสารทุกครั้ง
3. จงพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมและตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องทงั้หมดเมื่อท่านจะทำการสื่อสาร
4. จงปรึกษาหารือกับผู้อื่นเพื่อวางแผนในการสื่อสารเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม
5. จงระมัดระวังน้ำเสียงของท่านเช่นเดียวกับข้อความที่ท่านจะส่งออกไป
6. จงใช้โอกาสที่เปิดให้ท่านเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้รับสารทันที
7. จงติดตามผลของการสื่อสารของท่าน
8. จงสื่อสารโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
9. จงแน่ใจว่าท่าทางของท่านได้ช่วยการสนับสนุนการติดต่อสื่อสารของท่านด้วย
10. จงอย่าพยายามเพียงแต่ให้ผู้อื่นเข้าใจท่านเท่านั้นแต่ท่านต้องพยายามทำความเข้าใจผู้อื่นด้วยและจงเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ
(http://blog.spu.ac.th/saifon/2008/03/30/entry-1)1.3.3 เป้าหมายดีการกำหนดเป้าหมายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะส่งผลให้เกิดความสำเร็จการกำหนดเป้าหมายต้องมีความชัดเจนมีทิศทางในการทำงานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สำเร็จและได้ในสิ่งที่ต้องการดังนั้นบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องการกำหนดเป้าหมายจึงมีความสำคัญ
1.3.4 มนุษยสัมพันธ์ที่ดีผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมักจะเป็นผู้ที่ได้พัฒนาบุคลิกภาพมาดีกล่าวกันว่าบุคลิกภาพเป็นทั้งเสน่ห์และอำนาจของบุคคลฉะนั้นจึงมีการบังคับให้ผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งทางบริหารระดับสูงของส่วนราชการต่างๆต้องได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพในปัจจุบันองค์การทั้งหลายของภาครัฐและเอกชนที่สำคัญต่างเน้นการให้บุคลากรได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างจริงจังกว้างขวางผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดีจะปรับรูปโฉม(Grooming) ให้ดูดีและแต่งกาย(Dressing) ดีซึ่งจะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ผู้ได้พบเกิดความรู้สึกพึงพอใจเพิ่มขึ้นและยิ่งถ้าเป็นผู้คุมอารมณ์ได้ดีและมีมรรยาทดีด้วยก็จะสามารถทำให้คนรู้สึกนิยมชมชอบได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
( ดรสันทัดศะศิวณิชhttp://www.dopa.go.th/iad/subject/rela52.doc)1.3.5 คิดบวกดี"ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีเสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรผ่านเข้ามาลองหาสิ่งดีให้ได้ในทุกครั้งฝึกฝนบ่อยบ่อยจะเกิดเป็นนิสัยแล้วจิตใจจะคิดบวกเอง
(http://positivethinkingth.multiply.com/journal/item/32)1.3.6 คาดหวังดีเป็นความปรารถนาดีและความรู้สึกทใี่ห้คุณประโยชน์ต่อผู้อื่นและตนเองมีความเมตตาที่แท้จริงมาจากหัวใจที่ซื่อสัตย์บริสุทธิ์และสะอาด
1.3.7 ความน่าเชื่อถือเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกของบุคคลนับตั้งแต่“วิธีการคิด" ซึ่งสะท้อนออกมาด้วย“คำพูด" การเขียนหรือการกระทำหรือประพฤติปฏิบัติตลอดจนการแต่งกายกิริยามารยาทฯลฯ
1.4 การพัฒนาอุปนิสัยให้คิดบวก7 ประการคือ
1.4.1 ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อนอย่าไปสนใจว่าใครทำอะไรให้สนใจเฉพาะว่าตนเองทำอะไรทำดีหรือยังเพื่อทจี่ะเปิดเกมส์รุกได้เช่นหัวหน้าว่าคือเรื่องของหัวหน้าเรื่องของเราคืองานที่เราต้องทำทำไปอย่าสนใจสิ่งที่หัวหน้าว่าจนทำให้เราไม่สามารถทำงานในส่วนที่เรารับผิดชอบได้
1.4.2 เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจคือการสร้างหรือวางแผนการออกแบบและวางโครงร่างสำหรับสิ่งที่เราต้องการจะเป็นก่อนโดยคิดหลายๆทางเลือกและเลือกสิ่งทดีี่ที่สุดในใจก่อนแล้วค่อยนำความคิดนั้นมาปฏิบัติให้เกิดผลตามความคิดหรือสิ่งที่เราคาดหวังไว้และความสำเร็จเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอเริ่มสะสมความสำเร็จด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปอย่างสม่ำเสมอ
1.4.3 ทำตามลำดับความสำคัญโดยต้องจัดลำดับความสำคัญของงานชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังคือคิดว่าจะทำอะไรทำอย่างไรเริ่มจากอะไรก่อนโดยตอบรับในสิ่งที่ดีและปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดีทุกคนมีต้นทุนคือเวลาที่เท่ากัน24 ชม แต่ต่างกันในการใช้เวลาให้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์อย่างไร
1.4.4 คิดแบบชนะชนะคือการสร้างความเชื่อซึ่งกันและกัน(Interpersonal Thrust) ผลประโยชน์ร่วมกันให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันไม่ใช่แข่งขันชิงดีกันหากเราคิดชนะวันหนึ่งเราก็ต้องแพ้หากเราปรองดองกันมีแต่ชนะชนะเราควรฝึกให้คนคิดและต้องการสิ่งนั้นดว้ยตัวเขาเองการแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเองด้วยความกล้าแสดงออกและด้วยความเอาใจใส่ต่อความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น
1.4.5 เข้าใจคนอื่นก่อนจะให้คนอื่นเข้าใจเราเราต้องพยายามทำความเข้าใจผู้อื่นก่อนที่จะให้คนอื่นอีกหลายๆคนมาเข้าใจเราส่วนใหญ่มักจะพบว่าในองค์กรมีคนที่มักจะตัดสินใจหรือออกคำสั่งโดยยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้สื่อสารผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานต้องการให้เราเข้าใจเช่นเดียวกันการวินิจฉัยโรคต้องมาก่อนการจ่ายยาและความเข้าใจย่อมได้มาจากการฟังโดยพยายามให้เป็นการฟังแบบเข้าอกเข้าใจกัน
1.4.6 ประสานพลังสร้างสิ่งใหม่สืบเนื่องมาจากต้องฝึกปฏิบัติในข้อ1.4.4-1.4.5 ผ่านแล้วจะทำให้เราสามารถผนึกพลังแนวความคิดที่แตกต่างของแต่ละคนมาชว่ยกันเป็นจุดเสริมเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิผลมากขึ้น
1.4.7 ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอคือการนำที่กล่าวมาแล้วทั้ง6 ข้อมาทำการฝึกฝนให้คมอยู่เสมอโดยแบ่งเป็นการฝึกฝนด้านกายภาพ(ทำร่างกายให้สมบูรณ์ การฝึกฝนด้านสติปัญญา(อ่านหนังสือหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ การฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ( ทำสมาธิหรือการใช้เวลากับธรรมชาติ เสียอะไรเสียได้อย่าเสียใจเพราะมันหมายถึงการสูญสิ้นทุกๆอย่างอดีตจบไปแล้วอนาคตยังมาไม่ถึงทำปัจจุบันให้ดีที่สุดความคิดมีตัวตนคนจะเป็นอย่างที่คิดจงพูดอย่างที่คิดและทำอย่างที่พูด
(http://javawork.exteen.com/7-the-7-habits-)2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานให้รวดเร็วมีดังนี้
2.1 จัดทำแผนการทำงานไว้ล่วงหน้าและแผนนั้นควรจะมีการยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เกิดจริงๆที่ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้หรืออาจมีแผนสำรองควรทำเป็นแผนระยะยาวประมาณ1 ปีและระยะสั้นแบ่งเป็นแต่ละเดือนหรืออาจจะทำเป็นรายสัปดาห์หรือรายวันเพื่อจะได้ชัดเจนมากขึ้น
2.2 จัดลำดับความเร่งด่วนและความสำคัญของงานที่ต้องปฏิบัติก่อนหลังเช่นงานด่วนด่วนมากและด่วนที่สุดถ้าปฏิบัติงานไม่แล้วเสร็จในแต่ละวันควรมาทำงานนอกเวลาราชการ
2.3 มีการจัดเก็บเอกสารและแฟ้มงานในคอมพิวเตอร์อย่างเป็นระบบเพื่อความรวดเร็วและสะดวกในการค้นหาควรให้เพื่อนร่วมงานที่ปฏิบัติงานด้วยกันสามารถค้นหาได้ในกรณีที่เจ้าของเรื่องไปราชการหรือไม่มาทำงาน2.4 ต้องทำความเข้าใจกับงานที่ทำหรืองานที่ได้รับมอบหมายให้กระจ่างเพื่อลดความผิดพลาด
2.5 มีการจดบันทึกการปฏิบัติงานในแต่ละวันว่างานแต่ละงานที่รับผิดชอบนั้นได้ปฏิบัติไว้ถึงขั้นตอนไหนแล้วเพื่อจะได้ดำเนินการต่อได้ในวันรุ่งขึ้นและจะได้ติดตามงานได้อย่างต่อเนื่อง
2.6 ศึกษาเรียนรู้ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับงานต่างๆที่รับผิดชอบให้เข้าใจชัดเจนเช่นระเบยีบเรื่องการเงินฯลฯ
2.7 เรียนรู้การปรับตัวเองให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมถึงความมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
3. การเขียนโครงการเพื่อขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายสรุปได้ดังนี้3.1 โครงการแบ่งออกเป็น2 กรณีคือ
1.1 โครงการที่อยู่ในแผนงบประมาณแต่ละปีที่หน่วยงานได้ทำเสนอของบประมาณ
1.2 โครงการที่ไม่ได้อยู่ในแผนหรือโครงการที่เกิดขึ้นภายหลังโดยที่ไม่ได้เสนอของบประมาณ
3.2 ในกรณีที่โครงการไม่ได้มีอยู่ในแผนให้ดำเนินการขออนุมัติโครงการส่งไปยังงานแผนและพัฒนาคุณภาพและขออนุมัติค่าใช้จ่ายส่งไปยังการเงินพร้อมกันเพื่อความรวดเร็ว
3.3 ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระเบียบการเงินเรื่องการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมดถ้าไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับระเบียบการเบิกจ่ายให้ปรึกษากับงานการเงินก่อนที่จะเสนอโครงการ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


